สทร. จับมือยกระดับ MOU ไทย–ฝรั่งเศส ด้านระบบราง ขยายความร่วมมือด้านเทคโนโลยี การศึกษา และฝึกอบรม เดินหน้าพัฒนาบุคลากรและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง
.
วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ได้ร่วมพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ ร่วมกับกลุ่มธุรกิจระบบรางชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศสจำนวน 5 บริษัท ได้แก่ Egis Rail (Thailand) Co., Ltd. , Alstom (Thailand) Limited , VOSSLOH COGIFER S.A. , Systra MVA (Thailand) Co., Ltd. และ POMA SAS โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานร่วมกล่าวเปิดงาน และร่วมเป็นสักขีพยาน พร้อมกับ รศ.ดร.โชติชัย เจริญงาม ประธานกรรมการสถาบันฯ ซึ่งมี ผศ.พิศิษฐ์ แสง-ชูโต กรรมการสถาบัน รักษาการผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง ได้ร่วมลงนามกับกลุ่มธุรกิจระบบรางฝรั่งเศส 5 แห่ง ในครั้งนี้ ณ โรงแรม มิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพ
.
โดยหลังจากเมื่อสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือดังกล่าวมีระยะเวลา 2 ปี และต่อเนื่องจาก MOU ฉบับเดิมซึ่งมีผลตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรด้านระบบรางของไทยผ่านการศึกษา การวิจัย การฝึกอบรม การถ่ายทอดองค์ความรู้ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ (localization) โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะและความเชี่ยวชาญของบุคลากร ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมระบบรางไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
.
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความร่วมมือดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในหลากหลายมิติ อาทิ การพัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัย ESTACA ประเทศฝรั่งเศส เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา AI สำหรับศูนย์ควบคุมการเดินรถไฟ ด้านการฝึกอบรม สทร. ได้ร่วมหารือกับผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเศส และกับสถาบันฝึกอบรมการรถไฟ เพื่อดำเนินการด้านการฝึกอบรมบุคลากรในอุตสาหกรรมระบบราง ตลอดจนจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมที่จะเป็นประโยชน์กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (รฟม.) และผู้ประกอบการเดินรถต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ โดย สทร. ได้รับการสนับสนุนจากสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสในการส่งผู้เชี่ยวชาญจากฝรั่งเศส Mr. Yannick Jacob ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนระบบขนส่งในเมือง มาร่วมปฏิบัติงานกับ สทร. เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อช่วยสนับสนุนการวิจัย การพัฒนานโยบาย และการวางแผนระบบรางอย่างยั่งยืน อีกทั้งมีการจัดกิจกรรมบรรยาย การเสวนาวิชาการ และการประชุมเชิงเทคนิค เช่น Technical Hearing หัวข้อ “Low-Carbon Technology for Thailand’s Rail Decarbonization” ซึ่งเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานทางเลือกในระบบราง โดยมีบริษัท Egis และ Alstom ร่วมให้ข้อมูลเชิงลึก
.
ในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ สทร. ได้เดินทางเยี่ยมชมโรงงาน Vossloh Cogifer และห้องปฏิบัติการ Digital Mobility Lab ของบริษัท Alstom เพื่อสำรวจแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศ ตลอดจนหารือเกี่ยวกับข้อมูล OEM ที่บริษัทไทยผลิตให้บริษัทฝรั่งเศส เพื่อสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเสริมขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย นอกจากนี้ สทร. ได้ดำเนินการจัดโครงการอบรมหลักสูตร “Smart and Sustainable Urban Mobility with AI-powered Analytics” ภายใต้ความร่วมมือประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย ทั้งนี้บันทึกข้อตกลงฉบับใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อสานต่อความร่วมมือที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพระหว่างไทยและฝรั่งเศส สร้างรากฐานในการพัฒนาระบบรางอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางความรู้ด้านระบบรางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต
.









การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)