สทร. ร่วมกับ บริษัท JR East ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อความร่วมมือในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาคระบบรางของประเทศ
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ร่วมกับ East Japan Railway Company (JR East) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมุ่งเน้นความร่วมมือในการเสริมสร้างมาตรการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาคระบบรางของประเทศ นำโดย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สทร. และ Mr. Toshiyuki Matsuda ในฐานะตัวแทนของ Mr. Junji Kawasaki, Department Director at JR East โดยมีผู้ร่วมเป็นสักขีพยาน ได้แก่ รศ.ดร.พีรพงศ์ จิตเสงี่ยม นักวิเคราะห์ เชี่ยวชาญ และ Mr. Shutaro Sakanaka, Deputy Manager at JR East นอกจากนี้ Mr. Tsuyoshi Yamakawa เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้เข้าร่วมในฐานะแขกผู้มีเกียรติ พร้อมกล่าวแสดงความยินดีอย่างอบอุ่นต่อความสำเร็จอันสำคัญครั้งนี้
.
ความเข้าใจและการเตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย เนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆ เช่น น้ำท่วมและดินถล่ม สามารถนำไปสู่การหยุดชะงักอย่างรุนแรงและเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร เทคโนโลยีการรับมือที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งใช้เซ็นเซอร์ขั้นสูง ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และการตอบสนองอัตโนมัติ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจจับอันตรายและแจ้งเตือนผู้ควบคุมรถไฟแบบเรียลไทม์ เทคโนโลยีเหล่านี้ให้การสนับสนุนที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจ ช่วยให้สามารถดำเนินการได้ทันที เช่น การชะลอความเร็ว การเปลี่ยนเส้นทาง หรือการหยุดรถไฟเพื่อป้องกันการตกรางและอุบัติเหตุ การนำมาตรการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติมาใช้ จะช่วยให้อุตสาหกรรมระบบรางของประเทศไทย สามารถปกป้องโครงสร้างพื้นฐานและรับรองความปลอดภัยของผู้โดยสาร ลดการสูญเสียชีวิต และเสริมสร้างความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อการขนส่งทางราง
.
ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเผชิญกับความท้าทายทางธรรมชาติที่คล้ายคลึงกัน รวมถึงไต้ฝุ่น ฝนตกหนัก น้ำท่วม แผ่นดินไหว และหิมะ ได้พัฒนามาตรการรับมือขั้นสูงที่หลากหลาย บริษัท JR East ในฐานะผู้ให้บริการรถไฟรายใหญ่ที่สุดและเป็นผู้นำของญี่ปุ่น มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมากในการจัดการกับภัยคุกคามทางธรรมชาติเหล่านี้ ทำให้เป็นผู้เล่นสำคัญในภาคการรถไฟของญี่ปุ่น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนประเทศไทย บริษัท JR East จะนำความเชี่ยวชาญของตนมาช่วยในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อช่วยให้การดำเนินงานรถไฟในประเทศไทยมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
.
ความร่วมมือระหว่าง สทร.และ JR East ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาภาคการรถไฟของประเทศไทย โดยวางรากฐานสำหรับเครือข่ายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้น ด้วยการขับเคลื่อนจากเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม








การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)