สทร. ปั้นเด็กไทยพลิกโฉมรถไฟแห่งอนาคต ชูเทคโนโลยีระบบรางสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (สทร.) จัดประกวดไอเดีย “รถไฟในฝัน” ระดับเยาวชน เตรียมสร้างคนรองรับอุตสาหกรรมใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย พร้อมเร่งจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางแบบบูรณาการ
.
วันที่ 24 ตุลาคม 2567 ที่ห้องบอลรูม B โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ภายใต้กระทรวงคมนาคม ได้แถลงเปิดตัวโครงการ “คิดใหญ่ไปให้สุดราง” (Think Beyond Track) ซึ่งเป็นการประกวดความคิดสร้างสรรค์ระดับเยาวชนในหัวข้อ “รถไฟในฝัน” พร้อมเปิดวิสัยทัศน์และพันธกิจของ สทร. ในการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ
.
ดร.จุลเทพ เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นกิจกรรมนำร่องของ สทร. ซึ่งเป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง และมีพันธกิจสำคัญด้านหนึ่งคือ การพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับการสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ จึงได้ริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราง โดยพุ่งเป้าที่กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ เชิญชวนให้นักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 16-22 ปี ในจังหวัดที่มีรถไฟสายหลักวิ่งผ่าน ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดภายใต้หัวข้อ “รถไฟในฝัน” โดยมีรางวัลเป็นเงินทุนการศึกษารวม 420,000 บาท ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะของเยาวชนในการคิดสร้างสรรค์และนำเสนอไอเดียที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมระบบรางในอนาคต โดยผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดการสมัครเข้าร่วมโครงการและส่งผลงานได้ทางเว็บไซต์ www.คิดใหญ่ไปให้สุhttp://xn--72cz8b4c.net/
.
“ภารกิจหลักของ สทร. คือ การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของไทย เราคาดหวังว่าอุตสาหกรรมนี้จะเป็นอุตสาหกรรมใหม่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ และสามารถยกระดับขีดความสามารถของไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมระบบรางในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมระบบราง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบดำเนินการ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักในกลุ่มเยาวชนซึ่งจะเป็นกำลังหลักของอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต เราจึงริเริ่มจัดโครงการประกวดความคิดสร้างสรรค์การพัฒนาระบบราง และหวังว่ากิจกรรมนำร่องครั้งนี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของระบบราง และมองเห็นโอกาสด้านอาชีพในอุตสาหกรรมใหม่นี้” ดร.จุลเทพ กล่าว
.
นอกจากนี้ ดร.จุลเทพ ยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทบาทของ สทร.ว่า สทร. เป็นสถาบันที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กระทรวงคมนาคม ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ.2564 เพื่อบูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน ในการยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ โดยมีภารกิจหลักที่สำคัญคือ การสร้างยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบราง เพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์ระดับชาติและระดับกระทรวง โดยบูรณาการทิศทางและความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน ประกอบด้วย ส่วนของผู้กำหนดนโยบาย ส่วนของผู้เดินรถและอุตสาหกรรม และส่วนของนักวิจัย/นักวิชาการ ให้ครอบคลุมทั้งบริบทด้านเทคโนโลยีระบบราง บริบทด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดลำดับความสำคัญอย่างชัดเจนและเป็นระบบ พร้อมกำหนด Roadmap ตัวชี้วัด มาตรการ กลไก และผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศการสร้างอุตสาหกรรมระบบราง
.
ภารกิจหลักของ สทร. ยังประกอบด้วย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม การสร้างมาตรฐานระบบรางและระบบการทดสอบด้านระบบราง การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศในการรับ แลกเปลี่ยน และถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง รวมไปถึงการพัฒนาบุคลากรด้านระบบราง และการจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบรางด้วย
.
ที่ผ่านมา สทร. ได้สร้างความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำระดับโลกเพื่อพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบราง ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรผ่านการฝึกอบรม และการส่งเสริมหลักสูตรด้านการศึกษาเกี่ยวกับระบบราง เพื่อสร้างอุตสาหกรรมระบบรางซึ่งใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาโดยคนไทยและใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ อีกทั้งยังมีการประเมินศักยภาพของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยในเบื้องต้นว่า จะสามารถเป็นผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมระบบรางตามมาตรฐานระดับโลกได้หรือไม่
.
“ตอนนี้ผู้ประกอบการและแรงงานในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์กำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า การสร้างอุตสาหกรรมระบบรางโดยอาศัยเทคโนโลยีที่เป็นของคนไทย จะสามารถช่วยแก้ปัญหาผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมได้อีกทางหนึ่ง และอุตสาหกรรมนี้จะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” ผอ. สทร. กล่าวทิ้งท้าย








การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)