สทร. จัดประชุมเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ”ระดมทุกภาคส่วนร่วมกำหนดทิศทางอนาคตอุตสาหกรรมระบบรางไทย
วันที่ 8 ธันวาคม 2568 สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. จัดประชุมเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ “ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ” ณ ห้องเรนโบว์ ฮอลล์ ชั้น 17 โรงแรมใบหยกสกาย เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.โชติชัย เจริญงาม ประธานกรรมการสถาบันฯ เป็นประธานในพิธี และ ดร.เพียงออ เลาหะวิไลย ผู้อำนวยการสถาบันฯ กล่าวรายงาน พร้อมด้วยผู้บริหาร ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้ให้บริการระบบราง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนของระบบนิเวศอุตสาหกรรมรางเข้าร่วมประชุม
.
ทั้งนี้ สทร. ได้รับมอบหมายตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2564 ตามมาตรา 7 (1) ให้จัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ครอบคลุม 5 มิติสำคัญ ได้แก่ การวิจัยเทคโนโลยีระบบราง การพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบการทดสอบ และการรับและการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพื่อเป็นกลไกหลักในการกำหนดทิศทางและส่งเสริมการเติบโตของเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ
.
การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ คือ (1) เพื่อรับฟังนโยบายเชิงยุทธศาสตร์จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีประสบการณ์ด้านนโยบายและระบบรางของประเทศ (2) เพื่อระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศระบบราง และ (3) เพื่อนำข้อมูลและข้อคิดเห็นที่ได้รับไปประกอบการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายหน่วยงานทั้งผู้ให้บริการเดินรถและขนส่งทางราง ผู้ผลิตและผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซัพพลายเชน หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลระบบราง สถาบันการศึกษาและสถาบันวิชาชีพด้านระบบราง รวมถึงสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ที่มีบทบาทต่อการพัฒนาระบบรางของประเทศ
.
รองศาสตราจารย์ ดร.โชติชัย เจริญงาม ประธานกรรมการสถาบันฯ กล่าวว่า ระบบรางถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระบบรางจึงมีบทบาทที่ทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในฐานะทางเลือกของการเดินทางและการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีประสิทธิภาพสูง และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ การจัดทำยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประเทศจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยการมีส่วนร่วมและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา องค์กรวิจัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระบบนิเวศระบบราง
.
ในการประชุมครั้งนี้ สทร. ได้รับเกียรติจากนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บรรยายปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ระบบรางไทยในบริบทเศรษฐกิจใหม่: ทิศทางเทคโนโลยี โครงสร้างเศรษฐกิจ และโอกาสการพัฒนา” และรองศาสตราจารย์ ดร.ชลัยพร อมรวัฒนา จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำเสนอกรอบแนวคิดการจัดทำยุทธศาสตร์เทคโนโลยีระบบรางและแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ในการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศ ตามด้วยเวทีอภิปรายและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์จากผู้เข้าร่วมประชุม
.
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางของประเทศระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2571-2575) จะเป็นกรอบทิศทางหลักในการพัฒนาเทคโนโลยี การวิจัย การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบการทดสอบ รวมถึงการรับและการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านระบบรางของประเทศในระยะต่อไป โดยผลลัพธ์จากการประชุมครั้งนี้จะนำไปประกอบการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทย ลดการพึ่งพาการนำเข้า สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และยกระดับไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมระบบรางในภูมิภาคอาเซียนอย่างมั่นคงและยั่งยืน








การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)