แนวทางการพัฒนาศักยภาพด้านระบบรางของประเทศไทย
สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางได้ทำการนำข้อมูลที่ได้จากการสำรวจลงพื้นที่มาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะที่จะเป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพด้านระบบรางของประเทศ สรุปดังนี้
ภาคการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างประเทศ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบรางในประเทศไทยควรมีการดำเนินงานเชิงบูรณาการในโครงการขนส่งสินค้าทางรางแบบควบคุมอุณหภูมิ ให้มีการร่วมมือพัฒนาเครือข่ายการขนส่งทางราง มีการเชื่อมโยงการขนส่งทางรางระหว่างประเทศไทย – ลาว – จีน รวมทั้งประสานความร่วมมือระหว่างประเทศลาวและจีน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการส่งออกสินค้าด้วยการขนส่งสินค้าทางราง โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นและมีความสำคัญอย่างมากของประเทศไทย
นำเสนอแผนเชิงนโยบายสำหรับรองรับการขนส่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาไทย รวมถึงการส่งออกสินค้าทางรางแบบควบคุมอุณหภูมิ ควรมีการสำรวจศึกษาข้อมูลประเภทของตู้ขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้ทราบถึงความสามารถและข้อจำกัดของตู้ขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการขนส่งสินค้าทางรางของประเทศไทย
ควรมีการศึกษา สำรวจ และวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการขนส่งสินค้าเข้าและออกจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ทราบถึงสภาพโครงข่ายการขนส่งสินค้าในปัจจุบันในทุกรูปแบบของการคมนาคมและขนส่ง และเพื่อให้สามารถนำไปเป็นข้อมูลในการประมาณการความต้องการขนส่งสินค้าในอนาคต และคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขนส่งสินค้าจากระบบอื่นมาเป็นระบบราง
ควรมีการส่งเสริมและผลักดันความสามารถของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้สามารถพัฒนาต้นแบบตู้ควบคุมอุณหภูมิ ตอบสนองความต้องการการขนส่งสินค้าทางระบบรางโดยเฉพาะความต้องการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อส่งเสริมภาคเกษตรกรรมของประเทศไทยให้สามารถเข้าถึงระบบการขนส่งทางราง ซึ่งมีคุณภาพและมีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำเมื่อเทียบกับการขนส่งประเภทอื่น
ด้านมาตรฐานของระบบราง

ด้วยข้อจำกัดทางโครงสร้างโยธา ที่ใช้มาตรฐานรางไม่เหมือนกันส่งผลให้องค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่ ชุดแคร่ (Bogie) โปรไฟล์ล้อและราง (Rail/Wheel Profile) เขตโครงสร้าง (Structure Gauge) ที่แตกต่างกันและไม่สามารถใช้ทางร่วมกันได้ จึงควรมีพื้นที่รองรับการเปลี่ยนถ่ายระบบรางที่มีมาตรฐาน สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายระบบรางระหว่างขนาดความกว้าง 1 เมตร และ 1.435 เมตร ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนถ่ายสินค้านำเข้า ส่งออก และสินค้าผ่านแดนระหว่างประเทศ
การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ควรออกแบบให้มาตรฐานทางด้านโครงสร้างสามารถรองรับรถไฟความเร็วสูงจีน – ลาว ได้ โครงสร้างของสะพานต้องสามารถรองรับน้ำหนักกดเพลาได้สูงกว่า 25 ตัน/เพลา เพื่อรองรับน้ำหนักของตู้ขนส่งสินค้ารถไฟจีน – ลาว รวมถึงต้องรองรับทางรถไฟทั้งขนาดความกว้าง 1 เมตร และ 1.435 เมตร เพื่อก่อให้เกิดการเชื่อมต่อของระบบการเดินรถไฟไทย – ลาว – จีน เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายการขนส่งสินค้าภายในบริเวณพื้นที่ฝั่งไทยได้
ด้านเศรษฐกิจและศุลกากร

สร้างนโยบายเพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งสินค้าทั้งที่จำเป็นและที่ไม่จำเป็น เช่น ต้นทุนพิธีศุลกากร ต้นทุนสำหรับการใช้พื้นที่ลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ ต้นทุนสำหรับการใช้รถบรรทุกในการเปลี่ยนถ่ายสินค้าจากรถไฟระหว่าง Meter Gauge และ Standard Gauge ต้นทุนสำหรับการยกสินค้าขึ้น – ลง จากแคร่รถไฟ จะสามารถกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในประเทศหันมาใช้บริการส่งสินค้าทางรางเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการขนส่งทางรางมีต้นทุนการขนส่งสินค้าที่ถูกกว่ารวมทั้งสร้างมลพิษน้อยกว่าระบบการขนส่งรูปแบบอื่น ๆ ส่งผลให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนและควบคุมต้นทุนการดำเนินงานทั้งหมดได้

ควรมีการส่งเสริมสินค้าส่งออกที่ผลิตภายในประเทศไทย
โดยสินค้าที่ผลิตภายในประเทศจะให้ผลตอบแทนจากทุกกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานทั้งในภาคการผลิต และภาคการขนส่ง ซึ่งจะช่วยให้การเติบโตของห่วงโซ่อุปทานมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น ส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจการค้าของประเทศ
ด้านบุคลากรระบบราง

ควรมีการออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสมสำหรับจัดการเรียนการสอนในตำแหน่งพนักงานขับรถไฟสำหรับชาวลาว เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดเดินรถไฟระหว่างประเทศไทย – ลาว ในเส้นทางหนองคาย -เวียงจันทน์ เนื่องจากอาณาเขตการเดินรถของประเทศไทยสิ้นสุดที่สถานีท่านาแล้ง ซึ่งห่างจากสถานีปลายทางสถานีเวียงจันทน์ (บ้านคำสะหวาด) เป็นระยะทาง 7.5 กิโลเมตร จึงจำเป็นมีคนขับรถไฟสัญชาติลาว รับช่วงต่อการขับรถไฟในระยะทางต่อขยายดังกล่าว
ในกรณีที่ไม่สามารถหาผู้เรียนสัญชาติลาวในตำแหน่งพนักงานขับรถไฟได้ ควรมีการพิจารณาเรื่องการทำความตกลงระหว่างประเทศให้มีการสนับสนุนนโยบายหรือการคุ้มครองผู้ปฏิบัติการเดินรถในการขับขบวนรถไฟต่อเนื่องไปยังช่วงต่อขยายปลายทางที่สถานีบ้านคำสะหวาด (เช่น พนักงานขับรถไฟ ช่างเครื่อง พนักงานห้ามล้อ หรือ พนักงานรักษารถ เป็นต้น)
คณะผู้จัดทำบทความ
1) นางเยาวลักษณ์ สุนทรนนท์ ที่ปรึกษา
2) นางสาวภัทรสุดา วิชยพงศ์ นักวิจัยวิชาการอาวุโส
3) นางสาวอุมา พงษ์กิจเดชโชติ นักวิจัยวิชาการ
4) นางณิชาภัทร เบลค นักวิจัยวิชาการ
5) นายธีรภัทร ภู่เกิด นักวิจัยวิชาการ
6) นายเกียรติภูมิ น้อยสุวรรณ์ นักวิจัยวิชาการ
7) นางสาวพิมพ์ชนก แป้นไทย นักวิเคราะห์วิชาการ
8) นางสาวพาขวัญ พูนจิตรบริสุทธิ์ นักเทคโนโลยีวิชาการ



การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)