สทร. ร่วมกับ JR Freight ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)ยกระดับเทคโนโลยีระบบรางพร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมระบบราง
วันนี้ (19 ตุลาคม 2566) นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม มอบหมายให้ นายมนตรี เดชาสกุลสม ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม รักษาราชการแทน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานและสักขีพยาน ร่วมกับนายทาซากะ ทาคุโระ (Mr. TASAKA Takuro) อัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนการวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบราง รวมถึงการร่วมพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมระบบราง ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ร่วมกับ Japan Freight Railway Company (JR Freight) ณ โรงแรมรอยัลปริ๊นเซส หลานหลวง กรุงเทพฯ โดยมี นายสันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการ สทร. และนายโคกุเร คาซึฮิสะ (Mr KOGURE Kazuhisa) ประธานกรรมการผู้จัดการ Railway Logistics Headquarters บริษัท JR Freight เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ

นายมนตรี เดชาสกุลสม ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ กล่าวว่า กระทรวงฯ ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งมั่นในการบริหารประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี ซึ่งกำหนดกรอบทิศทางการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศให้เดินหน้าไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ควบคู่ไปกับแผนยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงคมนาคม “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” ภายใต้การนำของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และการลงนามฯ ครั้งนี้ สืบเนื่องจากปฏิญญาแสดงเจตจำนงการดำเนินความร่วมมือด้านคมนาคมขนส่งไทย-ญี่ปุ่น ที่กระทรวงคมนาคมของประเทศไทยได้ลงนามร่วมกับกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (MLIT) ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2565
โดยประเทศไทยได้ให้ความสำคัญและมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง MOU ระหว่าง สทร. ร่วมกับ JR Freight ได้จัดอยู่ในแนวทางความร่วมมือที่เกิดจากปฏิญญาดังกล่าว ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญและเป็นโอกาสในการพัฒนาองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศในอุตสาหกรรมระบบรางไทย ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาระบบมาตรฐานและการทดสอบ และการพัฒนากำลังคนเฉพาะทางที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมระบบราง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองในด้านเทคโนโลยี และบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี

ด้าน นายสันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการ สทร. กล่าวถึงภาระกิจสำคัญในฐานะหน่วยงานวิจัยและพัฒนาภายใต้การกำกับของกระทรวงคมนาคม เพื่อพัฒนาการเชื่อมต่อแบบบูรณาการร่วมกับรูปแบบการเดินทางทั้งหมดตามแนวนโยบายการส่งเสริมให้การคมนาคมขนส่งทางรางเป็นโครงข่ายการเดินทางหลักของประเทศ จึงทำให้ สทร. มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนการพัฒนาระบบรางตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ ตลอดจนมีหน้าที่สำคัญในการวางยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระบบรางที่เหมาะสมต่อบริบทของประเทศ โดยความร่วมมือกับ JR Freight ในครั้งนี้ จะนำไปสู่การทำงานร่วมกันเป็นรูปธรรมในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่
1) การวิจัยและพัฒนา การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมจากการเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมและส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางที่เน้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีระบบรางที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับการพัฒนายุคใหม่ของประเทศไทย
2) ด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบราง ยกระดับความรู้และทักษะของบุคลากรระบบรางเพื่อตอบโจทย์ความต้องการจากภาคอุตสาหกรรม ผ่านการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรและจัดฝึกอบรมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและมาตรฐาน รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายการขนส่งทางรางของประเทศ
3) สร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางภายในประเทศ หรือ Local Content ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายของกระทรวงคมนาคม ในการสนับสนุนการสร้างพื้นที่อุตสาหกรรมที่ทรงพลังและแข็งแกร่งภายในประเทศ โดยทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจและการแข่งขันในตลาดโลกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน นายโคกุเร คาซึฮิสะ ประธานกรรมการผู้จัดการ Railway Logistics Headquarters บริษัท JR Freight กล่าวถึงการพัฒนาธุรกิจในต่างประเทศถือเป็นหนี่งในยุทธศาสตร์สำคัญในแผนการบริหารระยะกลางและวิสัยทัศน์ระยะยาว โดยในปี พ.ศ. 2564 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานผู้แทนในกรุงเทพฯ และที่ผ่านมาได้มีความมุ่งมั่นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสนับสนุนกระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทยในการจัดสำรวจเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางรางในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งและการท่องเที่ยว ญี่ปุ่น ทั้งนี้ นายโคกุเร ได้กล่าวเสริมถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่สอดคล้องกับ Brand Message ของบริษัท “Challenge and Change” ที่มุ่งเน้นการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาธุรกิจต่างประเทศ รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของสังคมไทย
การผนึกกำลังภายใต้ “บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ Collaboration in Advancing Rail Technology and Supporting Railway Industry” ในครั้งนี้ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาและใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาเป็นเครื่องมือในการยกระดับอุตสาหกรรมราง เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาระบบรางของประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตลอดจนนำพาระบบรางของประเทศไปสู่อนาคตที่มั่นคง ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

























การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)