สทร. ในฐานะคณะผู้แทนฝ่ายไทย เข้าร่วมการประชุมหารือการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่
.
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. ได้เข้าร่วมการประชุมหารือการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานสำคัญของทั้งสองประเทศเข้าร่วม ซึ่งมี ดร.เพียงออ เลาหะวิไลย ผู้อำนวยการ สทร. เป็นผู้แทนฝ่ายไทยเข้าร่วมในครั้งนี้ ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงโยธาธิการและขนส่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
.
กระทรวงคมนาคมตระหนักถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงโครงข่ายทางรถไฟระหว่างไทย–สปป.ลาว เพื่อรองรับการเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อการพัฒนาประเทศตามวิสัยทัศน์แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติด้านการให้ประเทศไทยเป็นประตูการค้า การลงทุน และยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค
.
ปัจจุบันการเชื่อมต่อทางรถไฟระหว่างหนองคาย (ไทย) และท่านาแล้ง นครหลวงเวียงจันทน์ (สปป.ลาว) ใช้สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 1 ความยาว 1,050 เมตร อย่างไรก็ตาม สะพานดังกล่าวมีข้อจำกัดจากการใช้งานร่วมกันระหว่างรถยนต์และรถไฟ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย–ลาว หนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2
.
ฝ่ายไทยได้นำเสนอความคืบหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ความก้าวหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ–นครราชสีมา)
2) ความก้าวหน้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย–จีน ระยะที่ 2 (นครราชสีมา–หนองคาย) : ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะสามารถเปิดประกวดราคาได้ภายในปี 2568
3) การพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้านาทา เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟจากหนองคายเข้าสู่เครือข่ายในสปป.ลาว
4) โครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย–ลาว หนองคาย–เวียงจันทน์ แห่งที่ 2 ซึ่งจะก่อสร้างใกล้สะพานเดิมในระยะห่างประมาณ 30 เมตร โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างศึกษาและออกแบบรายละเอียด สะพานแห่งใหม่นี้ออกแบบให้มีทางรถไฟขนาดมาตรฐาน (Standard Gauge) และทางขนาด 1 เมตร (Meter Gauge) เพื่อเชื่อมโยงไปยังสถานีเวียงจันทน์ใต้และสถานีท่านาแล้ง คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2570 และแล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2573
. การประชุมหารือร่วมกันของฝ่ายไทยและสปป.ลาวในครั้งนี้เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทั้ง 2 ฝ่าย สานต่อความระหว่างผู้นำรัฐบาล จากการเยือนสปป.ลาวของนายกรัฐมนตรีไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเริ่มต้นความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการขนส่งทางรางระหว่างสองประเทศ ยกระดับความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เสริมสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาค เชื่อมโยงการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
.






การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)