สทร. ร่วมกับ Nplus S.r.l. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีทางรถไฟ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมรถไฟของประเทศไทย
วันที่ 24 ตุลาคม 2567 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานและสักชีพยานร่วมกับ รศ.ดร. โชติชัย เจริญงาม ประธานกรรมการสถาบันฯ และ H.E. Paolo Dionisi อัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ของ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) หรือ สทร. และ บริษัท Nplus S.r.l. จากสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีทางรถไฟ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และ การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมรถไฟของประเทศไทย โดย ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สทร. ร่วมลงนาม กับ Mr. Giordano Riello President Nplus S.r.l. ณ ห้อง บุษบง โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ
.
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ภายใต้การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประเทศไทยได้ดำเนินการขยายและปรับปรุงโครงข่ายทางรถไฟอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อด้านคมนาคม ถือเป็นความท้าทายหนึ่งที่สำคัญของประเทศ ด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานพร้อมกับยกระดับความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานระบบรางได้มากยิ่งขึ้น ด้วยระบบการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของ Nplus ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วน จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยกำหนดทิศทาง และยกระดับการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบรางที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ในอนาคตสืบต่อไป
.
ดร.จุลเทพ ขจรไชยกูล ผู้อำนวยการ สทร. กล่าวว่า ในนามของสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โอกาสสำคัญนี้ เรากำลังจะสร้างความร่วมมืออย่างเป็นทางการที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของเราในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถไฟในอนาคต เพื่อรับรู้ถึงความต้องการที่สำคัญ ของ สทร. และ Nplus จึงได้จัดตั้งพันธมิตรเชิงกลยุทธ์โดยรวมพลัง ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของเราเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ และ เรามุ่งมั่นที่จะผลักดันการปรับปรุงเครือข่ายระบบราง โดยใช้ระบบและแนวปฏิบัติในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง เรากำลังวางรากฐานสำหรับระบบรถไฟที่แข็งแกร่งและทันสมัยที่จะเป็นรากฐานสำคัญของอนาคตด้านการขนส่งของประเทศไทย ส่งเสริมความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในทุกระดับ ด้วยความร่วมมือนี้ เรามั่นใจว่าภาคส่วนรถไฟของประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นำประโยชน์ที่ยั่งยืนมาสู่ประชาชน เศรษฐกิจ และสถานะระดับโลก
.
โดยแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย 20 ปีในอุตสาหกรรมระบบรางของไทยกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ การประเมินและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่เก่าแก่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรับประกันการขนส่งที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย โดยมุ่งเน้นการบูรณาการเทคโนโลยีสมัยใหม่และแนวปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ สทร. ในฐานะหน่วยงานหลักภายใต้กระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ในการผลักดันการพัฒนาและการดำเนิน โครงการเทคโนโลยีของระบบขนส่งทางราง ด้วยการมุ่งเน้นที่การวิจัยและพัฒนา นวัตกรรม และความร่วมมือในอุตสาหกรรม Nplus ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในอิตาลีในด้านการติดตามสภาพโครงสร้าง (Structural Health Monitoring – SHM) และบริการต่างๆ ความเชี่ยวชาญที่กว้างขวางและความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความปลอดภัย และประสิทธิภาพทำให้ Nplus ยืนอยู่ในตำแหน่งสำคัญในอุตสาหกรรม SHM โดยพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญด้วยโซลูชันทางเทคโนโลยีขั้นสูง
.
ซึ่งการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสองฝ่ายนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในความร่วมมือด้านเทคโนโลยีการจัดการโครงสร้างพื้นฐานนวัตกรรมระบบราง โดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีรถไฟ ส่งเสริมนวัตกรรม และขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมของประเทศ การร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่การขนส่งทางรถไฟจะปลอดภัยยิ่งขึ้น มีความยั่งยืน และก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมระบบรางต่อไป









การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)