พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ
ระหว่างสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) กับ บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

วันที่ 7 สิงหาคม 2566 สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) กระทรวงคมนาคม หรือ สทร. กับ บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด หรือ WCE ได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การส่งเสริมและสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ ณ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) โดยมีผู้บริหาร บุคลากร ตลอดจนนักวิชาการเครือข่ายของ สทร. ร่วมเป็นสักขีพยาน
คุณกิตติศักดิ์ มาพะเนาว์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง กล่าวถึงความร่วมมือว่า สทร. เป็นสถาบันหลักด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง บูรณาการความเชี่ยวชาญและทรัพยากรจากทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับขีดความสามารถทางเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ
สอดคล้องกับบริษัท WCE ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมมากกว่า 20 ปี และมีนโยบายที่มุ่งมั่นในการเข้าสู่งานด้านวิศวกรรมระบบรางอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดความร่วมมือในครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วยความร่วมมือ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบราง ด้านการพัฒนาระบบการจัดทํามาตรฐานและการทดสอบ ด้านการผลิตชิ้นส่วน และพัฒนาบุคลากรระบบราง
ดร.สันติ เจริญพรพัฒนา ผู้อำนวยการ สทร. ได้กล่าวแสดงความยินดีต่อความร่วมมือว่า สทร. ได้เริ่มทำงานกับ บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด หรือ WCE ซึ่งนำโดย คุณกิตติศักดิ์ มาพะเนาว์ กรรมการผู้จัดการ และทีมงาน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริษัท WCE เป็นองค์กรที่มีความสามารถสูง มีความตั้งใจแน่วแน่ มีวัฒนธรรมการทำงานที่มุ่งให้เกิดผลงานเชิงประจักษ์ และมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้บุกเบิกทำเรื่องใหม่ๆ เพื่อยกระดับความสามารถทางวิศวกรรมและเทคโนโลยีในอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งทางรางของประเทศมาโดยตลอด โดยที่ผ่านมา สทร. และบริษัท WCE ได้เริ่มทำงานร่วมกัน เช่น การพัฒนาระบบทดสอบรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้าที่บริษัทผลิตขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนระบบรางที่สามารถผลิตขึ้น

ภายในประเทศตามนโยบาย Thai First ของกระทรวงคมนาคม และการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าทางรางที่จะนำไปสู่การเพิ่มการขนส่งสินค้าทางรางของประเทศซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของประเทศไทย
การลงนามในครั้งนี้ นับเป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศในการขยายผลการดำเนินงานระหว่างทั้ง 2 หน่วยงาน ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภาคเอกชน และยังเป็นหมุดหมายสำคัญของการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีระบบรางของประเทศให้มีความก้าวหน้าด้วยพลังของทุกภาคส่วนซึ่งเป็นแนวทางที่มีความยั่งยืน อนึ่ง สทร. ในฐานะหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมจะมีบทบาทขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของประเทศโดยเชื่อมโยงการดำเนินงานของหน่วยงานนโยบาย ผู้เดินรถ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม หน่วยวิจัยและนวัตกรรม ตลอดจนสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว







การประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนระยะ 15 ปี ประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์เป็นส่วนหนึ่งของฐานในการขับเคลื่อนการพัฒนา โดยเฉพาะระบบการขนส่งทางรางทั้งในด้านการขนส่งสินค้าและการขนส่งผู้โดยสาร และได้นำไปสู่การวางแผนขยายเส้นทางของระบบรางของประเทศ ทั้งในระบบการขนส่งทางไกล ซึ่งเป็นระบบโครงข่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ และระบบขนส่งรถไฟฟ้าในเมืองและรถไฟฟ้าระหว่างเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเมือง เนื่องด้วยประเทศไทยกำลังดำเนินการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางประเภทรถไฟฟ้า และในบางเส้นทางนั้นมีแนวโน้มที่กำลังจะเปิดให้บริการในระยะเวลาอันใกล้สทร. ในฐานะหน่วยงานที่มีพันธกิจตามกฎหมายในการดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรระบบรางของประเทศ จึงได้ดำเนินการศึกษาและพัฒนาการประมาณการความต้องการบุคลากรสำหรับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระยะ 15 ปี เพื่อส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางในประเทศ รวมถึงเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนการผลิตและพัฒนาบุคลากรระบบรางให้กับภาคผู้กำหนดนโยบาย ภาคผู้เดินรถ/ผู้ประกอบการ และภาคการศึกษาและฝึกอบรม รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจด้วย จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พบว่า กลุ่มงานและตำแหน่งงานที่เป็นส่วนหลักพื้นฐานในการบริหารจัดการเดินรถหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ คือ ฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถ ซึ่งเป็นกลุ่มงานที่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ด้านความปลอดภัยและด้านเทคนิค เพื่อให้สามารถบริการได้อย่างมีมาตรฐาน สะดวกสบาย ตรงต่อเวลา และปลอดภัยแก่ผู้รับบริการ รายงานการศึกษานี้ จึงมุ่งเน้นศึกษาและประมาณการความต้องการบุคลากรในฝ่ายงานบริหารจัดการเดินรถเป็นสำคัญ ซึ่งประกอบด้วย 3 กลุ่มงานหลัก ได้แก่
ด้วยกลุ่มงานวิจัยและพัฒนามาตรฐานและการทดสอบ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร..) มีพันธกิจในการพัฒนามาตรฐานระบบการทดสอบและดำเนินการทดสอบด้านระบบราง ซึ่งทาง บริษัท เวสท์โคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (WCE) บริษัทในเครือสหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (SSI) ได้เป็นพันธมิตรและทำบันทึกตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง สทร. กับ WCE เรื่อง การส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมระบบรางของประเทศ” โดยทาง WCE ได้เชิญให้ สทร. เข้าร่วมสังเกตการณ์การทดสอบ Static Test และ Running Test ของรถโบกี้บรรทุกตู้สินค้า (บทต ตามมาตรฐานวิธีการทดสอบการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยดำเนินการระหว่างวันที่ 8 11 พฤษภาคม 2566 ณ บริษัท เวสโคสท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด และสถานีรถไฟนาผักขวง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เอกสารฉบับนี้ จัดทาขึ้น เพื่อศึกษาแนวทางการผลักดันและส่งเสริมการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่และผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมการขนส่งทางรางให้เกิดขึ้นในประเทศ ตามการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อให้เกิด Local Content ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ควบคู่กับแผนยุทธศาสตร์คมนาคม ซึ่งทาง สทร. ได้เล็งเห็นความสาคัญการสนับสนุนการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนระบบรางในประเทศ เพื่อสนับสนุนนโยบาย Thai First ผ่านแผนงานบูรณาการความร่วมมือ เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและการผลิตให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล

สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วน โดยได้ดำเนินการลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจวัดค่ามลพิษทางอากาศ ณ บริเวณ ชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและเครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบ คุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและ ใช้งานได้ทันที จำเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อัน จะช่วยให้การกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายใน ดำเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
ทางสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เล็งเห็นถึงความจําเป็นเรื่องด่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้เรื่องดําเนินการลงพื้นที่เพ่ือทําการตรวจวัดค่า มลพิษทางด้านเสียงรบกวน ณ บริเวณชานชาลา สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยใช้เทคนิควิธีการวัดและ เครื่องมือที่ได้มาตรฐานสากล และมีระบบคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ISO/IEC 17025 แต่อย่างไรก็ดี ผลการตรวจวัดดังกล่าว ไม่สามารถแปรผลและใช้งานได้ทันที จําเป็นต้องถูกวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ สามารถแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงประเด็น อันจะช่วยให้การกําหนดแนวทางแก้ไขปัญหาสามารถดําเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในดําเนินการปรับปรุง และป้องกันปัญหาดังกล่าวด้วย
การดำเนินโครงการขนส่งทางรางด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านออกแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของชิ้นส่วนอุปกรณ์ การติดตั้ง การทดสอบ การซ่อมบำรุง และการเดินรถ จำเป็นต้องปฏิบัติหรืออ้างอิงให้เป็นไปตามมาตรฐานระบบรางที่เป็นสากลหรือเป็นที่ยอมรับ แต่ปัจจุบัน พบว่า การกำหนดมาตรฐานระบบรางในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด
สทร. HSR-CT-(4001-4006):2567
รายงานแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพด้านระบบรางของประเทศ(NQI)